




เพลงโหมโรงจอมสุรางค์ ๓ ชั้น
(ออกท้ายเพลงสะบัดสะบิ้ง ๒ ชั้น)
_____________________________________เพลงโหมโรงจอมสุรางค์เป็นเพลงโหมโรงที่ได้รับความนิยมบรรเลงกันในวงเครื่องสายหรือวงปี่พาทย์ไม้นวมเป็นส่วนมาก เนื่องจากสำนวนเป็นเพลงกึ่งบังคับทาง เหมาะสำหรับบรรเลงด้วยแนวช้าจึงจะไพเราะเหมาะสม เพลงนี้เป็นเพลงประเภทปรบไก่มีสองท่อน ยาวท่อนละ 4 จังหวะ
ครูมนตรี ตราโมท และครูวิเชียร กุลตัณฑ์ ได้กล่าวถึงประวัติของเพลงนี้ไว้ในหนังสื่อชื่อ " ฟังและเข้าใจเพลงไทย" ว่า" เพลงโหมโรงจอมสุรางค์ เป็นเพลงโหมโรงที่มีสำเนียงแสดงความหมายไปในทางสนุกสนานร่าเริง มีจังหวะซับซ้อนซ่อนเงื่อนเป็นส่วนมาก นัยว่า นายดาบขุนเจริญดนตรีการ (เจริญ โรหิตะโยธิน) ซึ่งท่านเคยเป็นครูสอนดนตรีอยู่ ณ สามัคยาจารย์สมาคม เป็นผู้แต่ง แต่เมื่อได้พิจารณาตามสำนวนทำนองของเพลงนี้แล้ว นายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยของกรมศิลปากร ยังไม่สู้จะปลงใจดีนักว่าขุนเจริญดนตรีการ จะแต่งเพลงที่มีสำนวนทำนองอย่างเพลงโหมโรงจอมสุรางค์นี้ เพราะสำนวนทำนองของแต่ละเพลงที่ท่านแต่ง เป็นไปในรูปอย่างอื่น
โดยมากเพลงโหมโรงมักจะมีเพลงออกต่อท้ายอีกเพลงหนึ่ง เพลงโหมโรงจอมสุรางค์นี้ ก็ได้ใช้เพลงสะบัดสะบิ้ง ๒ ชั้น เป็นเพลงต่อท้าย ซึ่งเป็นเพลงที่กระฉับกระเฉง น่าฟังมิใช่น้อยทีเดียวเพลงสุดาสวรรค์ เถา
_____________________________________พระสุจริตสุดา มีนามเดิมว่า เปรื่อง สุจริตกุล เกิดเมื่อวันพุธ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๓๘ ที่บ้านปากคลองด่าน ใกล้ประตูน้ำภาษีเจริญ เป็นธิดาของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (ปลื้ม สุจริตกุล) และท่านผู้หญิงสุธรรมมนตรี (ไล้ สุจริตกุล) มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๑๑ คน น้องสาวของท่านมีนามว่า ประไพ สุจริตกุล ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจีพระวรราชชายา ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระสุจริตสุดา ได้ตั้งวงเครื่องสายผสมเปียโนขึ้น ผู้ขับร้องและผู้บรรเลงเป็นหญิงล้วน โดยมีคุณสุมิตรา สุจริตกุล (สกุลเดิม สิงหลกะ) เป็นผู้ดีดเปียโนเป็นวงเครื่องสายผสมที่มีชื่อเสียงมาก ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๕-พ.ศ. ๒๔๘๐ วงเครื่องสายวงนี้ ได้บรรเลงถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นประจำในเวลาเสวยพระกระยาหารค่ำ ณ พระราชวังพญาไท
ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๓ พระสุจริตสุดา ได้แต่งเพลงเถาขึ้นเพลงหนึ่ง ให้ชื่อว่า เพลงสุดาสวรรค์ เถา บทร้องจากเรื่อง “ ปล่อยแก่ ” พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ในราว พ.ศ.๒๔๗๖ ได้มีการบันทึกแผ่นเสียง ใช้ตรากรอบพักตร์สีทอง พิมพ์บนกระดาษสีน้ำเงินเข้ม ใช้ชื่อว่า “คณะนารีศรีสุมิตร” ขับร้องโดย น.ส.ประคอง พุ่มทองสุก (คุณครูนิภา อภัยวงศ์)
บทร้อง
รื่นกลิ่นลำดวนชวนเชย ลมรำเพยพากลิ่นหอมหวาน
สิบแสนสุคนธ์สุมนมาลย์ ไม่เท่าเทียบเปรียบปานด้วยรสรัก
หอมใดไม่เท่ากลิ่นสมร มะลิซ้อนสายหยุดพุดประจักษ์
พิกุลแก้วพยอมหอมนัก แต่รสรักหอมกว่าผกากรอง
ยามผกาลาร่วงดอกดวงโรย ถึงลมโชยกลิ่นน้อยไม่ลอยล่อง
ส่วนสวาทคลาดชู้เป็นคู่ครอง ก็หม่นหมองยิ่งผกาที่ราโรย ฯรายนามการบรรเลง
ซอสามสาย จักรี มงคล
ซอด้วง สุรพล ลิ้มพานิช อาทร ธนวัฒน์
ซออู้ มารุธ วิจิตรโชติ ณัฐวิทย์ จิยะจันทน์ จะเข้ สิทธิพร ศรกาญจน์ สิทธิชัย ศรกาญจน์
ขลุ่ยเพียงออ ตรีรัตน์ ยังรอต
ขลุ่ยหลิบ สุวรรณ ศาสนนันท์
โทน รำมะนา อุดม ชุ่มพุดซา
ฉิ่ง สุพจน์ สำราญจิตต์

เพลงตับวิวาหพระสมุท
_____________________________________วิวาหพระสมุท เป็นบทละครพูดสลับรำ มีทั้งบทร้อง และ บทเจรจา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑ เนื้อเรื่องได้เค้ามาจากนิยายกรีกเก่าเชื่อว่า ถ้าใช้หญิงงามถวายแก่พระสมุทรจะช่วยให้ชาวเมืองพ้นภัยจากทะเล จุดมุ่งหมายในการพระราชนิพนธ์ ก็เพื่อพระราชทานแก่คณะเสือป่า กองเสนาหลวงรักษาพระองค์ จัดแสดงเก็บเงินบำรุงราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม ณ พระราชวังสนามจันทร์ เรื่องนี้ เป็นพระราชนิพนธ์ที่ทรงคุณค่าทางวรรณคดี เป็นบทละครสุขใจและขบขันบางตอน เป็นเรื่องรักสดชื่น จบลงด้วยความสุข กระบวนกลอนและฉันท์ประณีตบรรจง บทร้องไพเราะ เพลงที่ใช้ ประกอบด้วย เพลงคลื่นกระทบฝั่ง เพลงบังใบ ๒ ชั้น และเพลงแขกสาหร่าย ๒ ชั้น มีความลงตัวและไพเราะยิ่งนัก
สำหรับการแสดงในครั้งนี้ บรรเลงและขับร้องโดยวงเครื่องสายผสมเปียโน คณะทิพย์นรี ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๑ โดย ศาสตราจารย์ ดร.ณัชชา พันธุ์เจริญ ผู้เป็นลูกศิษย์ที่ได้ร่ำเรียนเปียโนจากคุณครูสุมิตรา สุจริตกุล ซึ่งเป็นนักเปียโนประจำวงนารีศรีสุมิตร ของพระสุจริตสุดารายนามผู้บรรเลง
เปียโน อชิมา พัฒนวีรางกูล
ซอสามสาย วิสาขา ภูมิรัตน
ณัชชา พันธุ์เจริญ
ซอด้วง พิมพ์ชนก สุวรรณธาดา
ซออู้ สีส้ม เอี่ยมสรรพางค์
ขลุ่ย ตวันรัตน์ มีวงศ์อุโฆษ
โทน รำมะนา ภาศิณี สกุลสุรรัตน์
ฉิ่ง ตรีทิพ กมลศิริเพลงโสมส่องแสง ๓ ชั้น
_____________________________________เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ นายมนตรี ตราโมท ได้นำทำนองเพลงลาวดวงเดือนอันเป็นเพลงในอัตรา ๒ ชั้นนี้ขึ้นมาแต่งขยายขึ้นเป็นอัตรา ๓ ชั้น และตัดลงเป็นอัตราชั้นเดียวเพื่อบรรเลงรวมกับ ๒ ชั้นของกรมหมื่นพิชัย ฯ ได้ครบเป็นเพลงเถาโดยยึดสำเนียงลาวอันเป็นพื้นเดิมไว้
พร้อมกันนี้ก็ได้แต่งบทร้องขึ้นสำหรับร้องเป็นประจำกับทำนองเพลงทั้ง ๓ ชั้น ๒ ชั้นและชั้นเดียวแต่การแต่งของนายมนตรี ตราโมท ได้แก้ไขเฉพาะทำนองร้องเล็กน้อย คือของเดิมของกรมหมื่นพิชัย ฯ นั้น ทำนองเพลงท่อน ๓ ใน ๔ จังหวะต้น (หน้าทับสองไม้) ทั้งร้องและรับทรงกำหนดไว้ให้กลับซ้ำเป็น ๒ ครั้งแต่เมื่อ นายมนตรี ตราโมท ได้แต่งทำนองร้องขึ้นเป็น ๓ ชั้น พิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าถ้าจะให้ร้องทำนองตอนนั้นซ้ำเป็น ๒ ครั้งอย่างเดิม ก็ดูจะยืดยาดไป จึงตัดให้ร้องแต่เพียงครั้งเดียวแล้วดำเนินทำนองตอนท้ายติดต่อไปเลย
เมื่ออัตรา ๓ ชั้นได้แก้ไขดังนั้นแล้ว ทำนองร้อง ๒ ชั้นและชั้นเดียว ก็ต้องให้เป็นไปตามแบบเดียวกัน จึงจะเข้าชุดเป็นเถากันได้ ส่วนทำนองดนตรีที่รับ คงซ้ำ ๒ ครั้ง ตามเดิมตลอดทั้งเถา แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า “เพลงโสมส่องแสง” โดยเลียนจากความหมายชื่อเพลงเดิมที่เรียกว่า “ลาวดวงเดือน”รายนามผู้บรรเลง
คุณวิสาขา ภูมิรัตน
(ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากคุณครูสุมิตรา สุจริตกุล)เพลงลาวกระแต
_____________________________________กระแตเล็ก (หรือเพลงลาวกระแตเล็ก หรือเพลงกระแตตัวเมีย) เป็นเพลงขับร้องทำนองเก่าของพื้นเมืองล้านนา อัตราจังหวะสองชั้น อยู่ในเพลงไทยชุดกระแต ซึ่งมีทั้งหมด ๓ เพลง ได้แก่ เพลงกระแตไต่ไม้ กระแตเล็ก (กระแตตัวเมีย) และกระแตใหญ่ (กระแตตัวผู้) นอกจากนั้นเพลงกระแตเล็กยังเป็นเพลงลำดับที่ ๔ ในเพลงตับลาวเจริญศรี ซึ่งเป็นเพลงตับที่เป็นที่รู้จักกันดีในวงการดนตรีไทยด้วย
เพลงกระแตเล็กมีทำนอง ๓ ท่อน ล้วนแต่มีความไพเราะน่าฟังทุกท่อน ทำให้ทำนองกระแตเล็กเป็นที่รู้จักกันพอสมควร โดยเฉพาะนักแต่งเพลงไทยสากลยุคก่อนที่นิยมนำเอาทำนองกระแตเล็กมาดัดแปลงเป็นทำนองเพลงไทยสากลของตนเองรายนามผู้บรรเลง
ศาสตราจารย์ ดร.ณัชชา พันธุ์เจริญ
(ลูกศิษย์ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากคุณครูสุมิตรา สุจริตกุล)

เดี่ยวซออู้ เพลงพญาโศก ๓ ชั้น
(ทางคุณครูฉลวย จิยะจันทน์)
_____________________________________เพลงพญาโศกอัตรา ๒ ชั้น เป็นเพลงที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เป็นเพลงหนึ่งในเพลงเรื่อง"พญาโศก" ซึ่งมีต่อมา พระประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูร) ได้แต่งขยายขึ้นเป็นอัตราจังหวะ ๓ ชั้น ในปลายรัชกาลที่ ๔ เพื่อใช้บรรเลงและขับร้องในวงมโหรีและวงปี่พาทย์ รวมทั้งนำมาประดิษฐ์เป็นเพลงทางเดี่ยว ซึ่งนักดนตรีสมัยต่อมาได้ยึดเป็นแบบฉบับในการเดี่ยวเครื่องดนตรีต่างๆ
สำหรับการบรรเลงเดี่ยวซออู้เพลงพญาโศก ๓ ชั้นในครั้งนี้ เป็นทางเดี่ยวของครูพระสรรเพลงสรวง (บัว กมลวาทิน) ซึ่งเป็นครูดนตรีที่เข้าไปสอนนักดนตรีหญิงในตำหนักของพระสุจริตสุดา และได้ถ่ายทอดทางเพลงนี้ให้กับคุณครูฉลวย จิยะจันทน์ ซึ่งเป็นนักดนตรีท่านหนึ่งในการดูแลของพระสุจริตสุดารายนามผู้บรรเลง
ดุษฏี สว่างวิบูลย์พงศ์
มารุธ วิจิตรโชติ
ณัฐวิทย์ จิยะจันทน์
สุขสันต์ พ่วงกลัด
โทน – รำมะนา อุดม ชุ่มพุดซา
ฉิ่ง อาทร ธนวัฒน์

เดี่ยวจะเข้ เพลงหอมหวล ๓ ชั้น
(ทางคุณครูแสวง อภัยวงศ์)
_____________________________________เพลงหอมหวล ๒ ชั้น เป็นเพลงเก่าสมัยอยุธยา นิยมใช้ร้องในการแสดงละครใน เข้าใจว่า ราว ๆ สมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านโบราณาจารย์ได้นำมาแต่งขึ้นเป็น ๓ ชั้น เป็นเพลงที่มีสำนวนทำนองไพเราะอย่างเยือกเย็น
เดี่ยวจะเข้เพลงหอมหวล ๓ ชั้น ที่นำมาบรรเลงในครั้งนี้ เป็นโน้ตที่ตกทอดมาจาก คุณครูนิภา อภัยวงศ์ เขียนโดย คุณครูแสวง อภัยวงศ์ เป็นโน้ตตัวเลขแบบเก่า ( มีเครื่องหมายกำกับการใช้ เสียงสูง เสียงต่ำ สายกลาง สายลวด การรูดสาย ฯลฯ ) เมื่อข้าพเจ้าและพี่ชาย (สิทธิพร) ได้ทำความเข้าใจโน้ต และกลอนเพลงบางช่วงบางตอน ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับคุณครูนิภา ฯ ที่เราคุ้นเคย เพราะต่อเพลงกับครูมานาน เมื่อทำความเข้าใจได้อย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงดีดบันทึกเทปเก็บไว้เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยมิเคยถ่ายทอดไว้ให้แก่ผู้ใด
เมื่อตั้งใจที่จะจัดงาน “เสนาะเสียงดนตรีจากตำหนัก เคารพรักพระคุณครูมิรู้สิ้น” เพื่อร่วมรำลึก สืบสาน เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๓๐ ปี ชาตกาล พระสุจริตสุดา และ ๑๑๗ ปี ชาตกาล คุณครูนิภา อภัยวงศ์ จึงขอนำเดี่ยวจะเข้ เพลงหอมหวล ๓ ชั้น ออกเผยแพร่ เพื่อเป็นการเชิดชูบูชา คุณครูแสวง และ คุณครูนิภา อภัยวงศ์ ปรมาจารย์ที่มีฝีมือเป็นเลิศด้านจะเข้ ท่านเป็นคู่สามี ภรรยา ที่ทำนุบำรุงดนตรีไทยร่วมกัน ดังข้อความไว้อาลัยที่คุณครูนิภา ฯ เขียนไว้ในหนังสือ อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ คุณครูแสวง อภัยวงศ์ ณ เมรุวัดธาตุทอง เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ความว่า ..... โดยเหตุที่มีรสนิยมต้องกัน โดยเฉพาะในด้านการดนตรีไทย จึงดลใจให้มีชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นเวลา ๔๐ ปี ตลอดระยะเวลานี้ ได้ร่วมมือร่วมใจกันมุ่งบำรุงสร้างฐานะ ด้วยการเทอดทูนส่งเสริมวิชาการดนตรีไทยอันเป็นสมบัติล้ำค่าและศิลปประจำชาติ .....
ดนตรีไทยเป็นศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ การถ่ายทอด และ การสืบทอด เป็นแนวทางสำคัญในการธำรงรักษาให้ดนตรีไทยคงอยู่ เจริญงอกงาม โดดเด่น มีเอกลักษณ์ เป็นที่เชิดหน้าชูตา หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดไปแล้ว จะช่วยกันฟูมฟัก รักษา ความงดงามและทรงคุณค่า ตามแบบฉบับเดิม ที่คุณครูท่านร้อยเรียงไว้ให้เพื่อเป็นแบบอย่าง และเพื่อเกียรติภูมิของตัวท่านเองสืบไปรายนามผู้บรรเลง
สิทธิชัย ศรกาญจน์
พิพัฒน์พงษ์ วิชายา
บรรพต โปทา
พสิษฐ์ วิสัยกล้า
ตะวัน โตเอี่ยม
พงษ์ศิริ ยอดเพชร
สุวัฒน์ นิลยิ่งเจริญ
ณัชศิต ราชวงศ์
ชวลิต ลีนาบัว
พีรพัฒน์ กองกูล
จิราภรณ์ โพธิ์ทอง
ภัคนันท์ แป้นพรม
สุธิมา พรหมชนะ
อิศม์เดช ทองคลี
จิตติมา แสนเกตุ
ชาคริต ชะเอม
ชลชาติ คงอนันต์
ณรงค์ฤทธิ์ เชิงหอม
ณัฐนนท์ แสงสว่าง
ลัทวิทย์ เปรื่องวิชา
ชนพล ทองเกื้อ
ชญาดา ปิ่นสุข
โทน – รำมะนา สุรพงษ์ บ้านไกรทอง
ฉิ่ง นันท์นภัสร์ เจริญสุขข์
กรับพวง กิติกร แก้วแหวน

เพลงใบ้คลั่ง ๓ ชั้น
_____________________________________ครูมนตรี ตราโมท และนายวิเชียร กุลตัณฑ์ กล่าวไว้ในหนังสือฟังและเข้าใจเพลงไทย ว่าเพลงใบ้คลั่งในอัตรา ๒ ชั้นของโบราณ เป็นเพลงที่มีสำเนียงลาวระคนอยู่เป็นอันมากลักษณะของเพลงออกจะแปลกกับเพลงอื่น ๆ โดยที่เป็นเพลง ๔ ท่อน แต่ท่อนต้นเป็นเพลงประเภทที่มี “โยน” ส่วนท่อนอื่น ๆ มีแต่เนื้อเพลงล้วน ๆ
ครูช้อย สุนทรวาทิน ได้นำมาแต่งขึ้นในอัตรา ๓ ชั้น เมื่อราวสมัยต้นรัชกาลที่ ๕ โดยเฉพาะตอนที่เป็นโยนในท่อนต้นนั้น ครูช้อยฯ ได้แทรกลูกล้อลูกขัดเข้าไว้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง กระฉับกระเฉง แต่ได้แต่งทำนอง ลูกล้อลูกขัดไว้เพียงอย่างเดียว แม้เมื่อบรรเลงกลับต้นซ้ำอีกเที่ยวหนึ่ง (ตามประเพณีการบรรเลงเพลงไทย) ก็ใช้ลูกล้อลูกขัดอย่างเที่ยวแรกไม่เปลี่ยนแปลง อันความนิยมของนักดนตรีไทยในสมัยต่อมานั้นเมื่อบรรเลงเพลงใดกลับต้นอีกเที่ยวหนึ่ง ก็มักไม่ชอบที่จะบรรเลงทำนองที่เป็นลูกล้อลูกขัดซ้ำกับเที่ยวแรก ดังนั้น ต่อมาภายหลัง หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) จึงได้แต่งทำนองลูกล้อลูกขัดขั้นใหม่อีกอย่างหนึ่ง สำหรับบรรเลงเปลี่ยนในตอนโยน เพื่อมิให้ซ้ำกับเที่ยวแรก และก็นิยมใช้กันตลอดมาบทร้อง
เสียดายเอ๋ยเคยพลอดอยู่กอดกก โอ้ว่าอกเยือกเย็นเห็นแต่หมอน
ได้ยินเสียงเรไรใจรอนรอน หอมซ่อนชู้ชูชื่นรื่นอุรา
หอมดอกไม้คล้ายกลิ่นผ้าห่มน้อง ละเมอมองแหวกม่านชะม้อยหา
ไม่เห็นเจ้าลาวทองของพี่อา เคยแนบหน้านวดพัดแล้วพาที
ขวัญอ่อนเคยนอนชมเดือนหงาย เล่านิยายยิ้มแย้มแล้วหยอกพี่
เจ้าเป่าแคนแสนเพราะเสนาะดี กรรมมีแล้วจึงพรากจากกันไปรายนามผู้บรรเลง
ขับร้อง รัตนะ ฮุยนอก
ซอด้วง สหภาพ ชวนจิตร นนทณัฐ วิเศษศรี
ซออู้ จักริน หมอนทอง ชวลิต ลีนาบัว
จะเข้ พิพัฒน์พงษ์ วิชายา ณัชศิต ราชวงศ์
ขลุ่ยเพียงออ ตะวัน โตเอี่ยม
โทน รำมะนา ณัฐพล วิสุทธิแพทย์
ฉิ่ง จิตต์เดช โอภาสสุริยะ
ฉาบเล็ก ภูบดินทร์ ทองประเสริฐ
กรับพวง ภัทรกร ชัยทัศน์

เพลงอกทะเล เถา
_____________________________________ครูมนตรี ตราโมท และนายวิเชียร กุลตัณฑ์ กล่าวไว้ในหนังสือฟังและเข้าใจเพลงไทยว่า มีเพลงไทย ๒ ชั้นของเก่าอยู่เพลงหนึ่ง ชื่อ เพลงทะเลบ้า เป็นเพลงประเภทสองไม้และมีโยนสำหรับใช้บรรเลงเป็นเพลงเบ็ดเตล็ดและร้องในการแสดงละครบางโอกาส ในสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นสมัยที่การเล่นสักวาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มีวงสักวาที่สามารถทั้งทางร้องการบอกสักวา และ การแต่งทำนองเพลงหลายวง ได้มีท่านผู้หนึ่งนำเอาเพลงทะเลบ้า ๒ ชั้นของเก่ามาแต่งขยายทำนองขึ้นเป็น ๓ ชั้น สำหรับร้องเป็นลำลาในตอนที่จะเลิกเล่นสักวา แต่ในการแต่งขยายขึ้นเป็น ๓ ชั้นนี้หาได้แต่งขยายขึ้นโดยตรงไม่หากแต่ได้ดัดแปลงแก้ไขและเพิ่มเติมเนื้อเพลงออกไป เพื่อให้ร้องได้ไพเราะหลายแห่งแล้วตั้งชื่อขึ้นใหม่ว่า เพลงอกทะเลหรือสักวาอกทะเล
ต่อมา ได้มีผู้นำเอาเพลงอกทะเลที่เคยร้องเป็นลำลาในการเล่นสักวานั้นมาร้องส่งให้ดนตรีรับเป็นเพลงส่งท้ายหรือเพลงลา ครูช้อย สุนทรวาทิน จึงได้แต่งทำนองทางดนตรีขึ้นโดยอนุโลมการแก้ไขดัดแปลงและเพิ่มเติมเนื้อเพลงอย่างเดียวกับทำนองร้องสักวาเพื่อให้การร้องกับการรับสนิทสนมกลมกลืนกันตอนที่เป็นโยนก็สอดแทรกลูกล้อลูกขัดไปตามวิชาการของดุริยางคศิลป ส่วนท่อน ๒ ก็ให้ร้องกับรับล้อกันให้เหมาะสมกับที่จะเป็นเพลงลา นิยมใช้กันมาจนปัจจุบันนี้ นับว่าเป็นเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะกระฉับกระเฉงน่าฟังเพลงหนึ่ง
สำหรับการใช้แสดงในงาน “เสนาะเสียงดนตรีจากตำหนัก เคารพรักพระคุณครูมิรู้สิ้น” จะบรรเลงเพลงอกทะเลในรูปแบบของเพลงเถา ซึ่งมีความแตกต่างจากเพลงอกทะเลเถา แบบทั่วไป การบรรเลงในครั้งนี้เป็นแนวทางที่ปรากฏในแถบบันทึกเสียงของวง น. พุ่มสุวรรณ ซึ่งควบคุมวงโดย คุณครูนิภา อภัยวงศ์ และครูสิทธิชัย ศรกาญจน์ บรรเลงจะเข้ร่วมอยู่ด้วยบทร้อง
สามชั้น
เอ๊ะเวลาหนอเวลามาเร็วรี่
เสียงดนตรียังแว่วอยู่มิรู้หาย
อกทะเลเห่กล่อมน้อมจิตใจ
ประโลมโลกสดใสให้รื่นรมย์
สองชั้น
ก่อนจะจากกันไปในวันนี้
มอบไมตรีแนบชิดสนิทสนม
ดนตรีไทย คนไทย ใฝ่นิยม
ร่วมชื่นชมสมศักดิ์ศรีดนตรีไทยชั้นเดียว
มวลมิตรจงสุขี
พบสิ่งดีตลอดไป
ประสงค์จำนงใด
ให้รุ่งโรจน์โสตถิเทอญ
(ครูสิทธิชัย ศรกาญจน์ ประพันธ์)รายนามผู้บรรเลง
ขับร้อง จีรวัฒนา พูลทรัพย์
ระนาดเอก ภูบดินทร์ ทองประเสริฐ
ระนาดทุ้ม ฐิติพันธ์ คุ้มฤทธิ์
ระนาดเอกเหล็ก มุขพล ศรีสุระ
ระนาดทุ้มเหล็ก ธนาวุฒิ กุศลส่ง
ฆ้องวงใหญ่ ธิติ ยอดเพชร
ฆ้องวงเล็ก กฤษณะ ปราณี
ซอสามสายหลิบ อดิเทพ คงภักดี
ซอสามสาย นฤตย์ ไข่มุกข์
ซอสามสายเสียงต่ำ ณรงค์ฤทธิ์ เชิงหอม
ซอด้วงหลิบ พัฐยาพร พิศาลอัครชูสกุล
ซอด้วง ยศวดี ศรีสอาด
ซออู้หลิบ ศิริพร แจ้งประยูร
ซออู้ พงศกร เจริญปรุ
ซอโอ่ง ณัฐนนท์ แสงสว่าง
จะเข้หลิบ ภัคนันท์ แป้นพรม
จะเข้ พีรพัฒน์ กองกูล
ขลุ่ยหลิบ อชินวัฒน์ อักษร
ขลุ่ยเพียงออ กรวิชญ์ ลอยแก้ว
ขลุ่ยอู้ พัชรพล สิทธิปกรณ์
โทน รำมะนา ภูมิรพี โตสวน
ฉิ่ง พศิน วาดพันธ์
ฉาบเล็ก โยเอล เกตุแก้ว
กรับ ณัฐพงษ์ คงเครือ
กรับพวง กิติกร แก้วแหวน
โหม่ง มัตติกา สีสะหัด

คณะกรรมการจัดงาน
_____________________________________นายสิทธิชัย ศรกาญจน์
อดีตผู้บริหาร การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
นายสิทธิพร ศรกาญจน์
ผู้บริหารระดับสูง บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ จำกัด มหาชน (ประเทศไทย)
ดร.ดุษฏี สว่างวิบูลย์พงศ์
อาจารย์คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณณ์มหาวิทยาลัย
นายมารุธ วิจิตรโชติ
อดีตผู้บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)ผศ.ดร.สุรพงษ์ บ้านไกรทอง
อาจารย์ประจำภาควิชาดนตรี วิทยาลัยการดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
นายจักริน หมอนทอง
ผู้บริหาร บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน)
นายพิพัฒน์พงษ์ วิชายา
อาจารย์พิเศษสอนดนตรีไทย โรงเรียนราชวินิต (บางแก้ว)
นายพงษ์ศิริ ยอดเพชร
อาจารย์สอนดนตรีไทย โรงเรียนรุ่งอรุณ
นายณัชศิต ราชวงศ์
อาจารย์สอนดนตรีไทย โรงเรียนบางสะพานวิทยาขอขอบพระคุณผู้สนับสนุน
_____________________________________สำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อนุเคราะห์สถานที่จัดงาน อาหาร และบริการ
คณะกรรมการจัดงานรำลึก ๑๐๘ ปี “ คิดถึงครูฉลวย จิยะจันทน์ ” ร่วมสนับสนุนค่าใช้จ่าย
บริษัท VIJITLUX MEDIA Creative & Design Group (VJL Group) ออกแบบสร้างสรรค์งาน
ร้อยโท ณพลพัทธ์ อภัยวงศ์ (บุตรบุญธรรมครูแสวง -ครูนิภา อภัยวงศ์) แหล่งข้อมูลครูนิภา อภัยวงศ์
วิทยาลัยการดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา สถานที่ฝึกซ้อม
ดร.ดุษฎี สว่างวิบูลย์พงศ์ (วิเศษไก่ย่างภัตตาคาร) สถานที่ฝึกซ้อมและอาหาร
นายจักริน หมอนทอง สถานที่ฝึกซ้อมและอาหาร
นายภูบดินทร์ ทองประเสริฐ สถานที่ฝึกซ้อมและอาหาร
นายพงษ์ศิริ ยอดเพชร ดอกไม้ประดับงาน